การทอผ้า
มีเครื่องมือสำหรับทอผ้า คือ กี่ หรือหูก ซึ่งภาคใต้เรียก เก หรือ โหก
กรรมวิธีการทอผ้ามีพัฒนามาจากการถัก การทอเป็นวิถีสานลักษณะหนึ่งเช่นเดียวกับสานเครื่องจักรสาน
แต่การทอผ้าฝ้าย เส้นไหม ขนสัตว์ หรือวัตถุ อื่นที่เป็นเส้นแทนตอก
การทอเริ่มจากการใช้เส้นฝ้ายหรือเส้นไหมที่เป็น เส้นยืน ในแนวตั้งละใช้ เส้นพุ่ง
ในแนวนอน สอดขัดกันไปอย่างต่อเนื่อง ในลักษณะยกขึ้นและข่มลง ให้เส้นใยสอดขัดสลับกันไปเรื่อยๆ
จนได้ผืนผ้าตามต้องการ
กรรมวิธีการทอผ้าที่เก่าแก่ที่สุด
อาจเริ่มจากการทอที่คล้ายการสาน โดยไม่มีเครื่องมือช่วย
เริ่มจากใช้แผ่นหลังของผู้ทอ ดึงด้ายเส้นยืน โดยผู้ทอนั่งเหยียดเท้าไปข้างหน้า
ใช้ปลายข้างหนึ่งของด้านเส้นยืนพันรอบเอวปลายอีกข้างหนึ่งผูกกับไม้ขวางตามความกว้างของหน้าหน้าผ้า
แล้วโยงยึดกับเสาเรือนหรือต้นไม้ ผู้ทอจะต้องก้มและยืดตัวขึ้น
สลับกับการสอดด้ายเส้นพุ่งเข้าไประหว่างเส้นยืนด้วยไม้
สลับกับการกระทบเส้นด้ายพุ่งให้เรียงกันแน่นด้วยแผ่นไม้บางๆ
การทอประเภทนี้ยังไม่ใช้ฟืม ผ้าจึงไม่เรียบและแน่น มักใช้ในการทอผ้าหน้าแคบ
วิธีการทอลักษณะเช่นนี้
ปัจจุบันชาวไทยภูเขาและชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยงบางกลุ่มยังทอกันอยู่
เพราะทอได้สะดวกไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก
เครื่องมือทอผ้าพัฒนามาเป็นลำดับ
จากผ้าทอหน้าแคบด้วยแผ่นหลัง นั่งกับพื้นเหยียดเท้าไปข้างหน้า มาเป็นการทอแบบนั่งห้อยขา
มีฟืมสำหรับกระทบ สามารถทอผ้าได้หน้ากว้างมากขึ้น
ต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องทอผ้าพื้นบ้านที่เรียกว่า กี่หรือหูก
ทำด้วยไม้เป็นโครงสี่เหลี่ยม สันนิษฐานว่าประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน
เรียกว่า ปังกี่หรือโป่กี่ เมื่อประมาณ 1,800 ปีมาแล้ว กี่พื้นบ้านประกอบด้วยโครงสร้างไม้
มีสี่เสา มีไม้คานกี่เป็นโครงยึด โครงสร้างของกี่มี ไม้คำพัน ยึดด้ายเส้นยืน
และเป็นที่ม้วนเก็บผ้าที่ทอแล้ว ไม้ไขว้ ไม้ด้านหัวกี่ที่ช่วยยึดเส้นด้ายยืนให้ตึง
นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของกี่หรือหูกทอผ้าคือ
ฟืม ซึ่งเป็นเครื่องกระทบเส้นพุ่งที่พัฒนามาจากการใช้ไม้
ฟืมทำด้วยไม้หรือเหล็กเป็นซี่ๆ คล้ายหวี เพื่อให้สอดด้ายเส้นยืนผ่านเข้าไปได้
ฟืมจะกระทบให้เส้นพุ่งที่สอดขัดกับเส้นยืนเรียงกันสนิท นอกจากนี้ฟืมยังเป็นตัวกำหนดขนาดกว้างของหน้าผ้าด้วยช่องฟันหวี
เช่น ฟืมขนาด 200 ช่องฟันหวี หรือฟืม 4 หลบ 1 หลบเท่ากับ 40 ช่อง
ส่วนประกอบที่สำคัญของกี่อีกอย่างหนึ่งคือ
ไม้ขัดร่องเขา ไม้ไผ่กลมๆ ที่เป็นตัวยึด
ด้ายเส้นยืนให้ยกขึ้นหรือดึงลงตามรูปแบบของลวดลายของผ้าที่ต้องการจะทอ
โดยผูกโยงไว้กับไม้เหยียบหูก ซึ่งผู้ทอจะใช้เท้าเหยียบให้ขึ้นลงคล้ายกับการยกเส้นตอกในการสานเครื่องจักร
การเหยียบไม้หูก จะต้องสัมพันธ์กับการพุ่งกระสวย ซึ่งเป็นไม้ขนาดเล็ก
ตรงกลางป่องคล้ายเรือ มีร่องสำหรับใส่หลอดด้ายที่จะใช้เป็นเส้นพุ่ง
(เดิมในภาคใต้บางถิ่นใช้ ตรน ใส่หลอดด้ายพุ่งแทนกระสวย) โดยพุ่งสลับกันจากริมผ้าด้านขวาไปซ้าย
จากซ้ายไปขวา สลับกับการกระทบฟืม ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะได้ผืนผ้าตามความต้องการ
กระสวยจึงเป็นเครื่องสำคัญซึ่งมนุษย์พัฒนาขึ้นแทนการสอดเส้นด้ายพุ่งด้ายนิ้ว
ทำให้ทอผ้าได้รวดเร็ว แต่การพัฒนาเครื่องทอผ้าของมนุษย์มิได้หยุดเพียงเท่านั้น
มนุษย์ได้คิดวิธีสอดกระสวยผ่านด้ายเส้นยืนกลับไปกลับมาให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
กี่กระตุก
เป็นเครื่องทอผ้าที่พัฒนามาจากกี่พื้นบ้าน โดยการพุ่งด้ายเส้นพุ่งหรือเส้นนอน
ด้วยการกระตุกสายบังคับให้เกิดแรงกระแทก ส่งกระสวยให้วิ่งไปแล้วกลับมา
สลับกับการกระทบฟืม ทำให้ทอผ้าได้รวดเร็วกว่าการทอผ้าด้วยกี่ธรรมดา กี่กระตุก
เป็นการเรียกตามลักษณะการพุ่งกระสวยที่วิ่งสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว
ต่อมาเครื่องทอผ้าก็ได้พัฒนาขึ้นโดยชาวตะวันตกสามารถสร้างเครื่องจักรมาใช้ทอผ้าแทนแรงงานคนได้สำเร็จ
ในสมัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของยุโรปในพุทธศตวรรษที่ 24 ทำให้หัตถกรรมการทอผ้าด้วยมือ
และแรงมนุษย์เปลี่ยนมาเป็นการทอด้วยเครื่องจักร
การทอผ้าจึงกลายเป็นผลผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน