เปิดให้บริการวันจันทร์ - วันอาทิตย์
เวลา: 08:30 - 17:30 น. น.

ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 7 อาณาจักรอยุธยา(3)

  • หน้าแรก
  • ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 7 อาณาจักรอยุธยา(3)
4 ต.ค.
Awesome Image

ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 7 อาณาจักรอยุธยา(3)

ในพุทธศตวรรษที่ 19-20 พ่อค้าชาวบ้านอาหรับเข้ามาผูกขาดการค้าเครื่องเทศในเกาะชวาและบาหลีได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแผ่ในหมู่นำชุมชน โดยมีศูนย์กลางของการเผยแผ่อยู่ที่ภาคเหนือของเกาะสุมาตราและมะละกา ต่อมาศาสนาอิสลามได้รับนับถืออย่างกว้างขวางจากชาวพื้นเมืองในบริเวณแหลมมลายู และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทยด้วย

การยอมรับนับถือศาสนาอิสลามของผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะการแต่งกาย รูปแบบของผ้าที่นำมาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม มีการนำรูปแบบของศิลปะอิสลามและศิลปะอินเดียสมัยโมกุล ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20-24 มาประยุกต์เข้ากับรูปแบบดั้งเดิม ดังปรากฏอยู่ในลายผ้าที่ใช้นุ่งห่ม ผ้าที่ใช้สำหรับตกแต่งอาคารบ้านเรือนและผ้าที่ใช้ในพิธีกรรม ศิลปะอิสลามและศิลปะโมเลกุลเข้ามาในหมู่ชนชั้นสูงก่อนแล้ว เช่นการนำลวดลายในศิลปะอิสลามและศิลปะโมเลกุลไปใช้กับผ้าที่รับแบบอย่างมาจากผ้าปะโตลา หรือปาโตลา ซึ่งเป็นผ้าไหมมัดย้อมชนิดหนึ่งของอินเดีย

การทอผ้าและการใช้ผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มของชาวเอเชียอาคเนย์ในอดีตนั้นเชื่อมโยงกับอารยธรรมอินเดีย จีน อาหรับ และวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนาของผู้คนด้วย โดยเฉพาะการแผ่กระจายของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ และศาสนาอิสลามนั้น มีผลกระทบต่อการสร้างรูปแบบของผ้าและการแต่งกายของประชาชนท้องถิ่นต่างๆ อย่างมาก เช่น เมื่อชาวอินเดียเดินทางมาค้าขายกับอาณาจักรขอมหรือกัมพูชา เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-19 นั้น ชาวกัมพูชาอาจรับรูปแบบการทอผ้ามาจากผ้าปาโตลาของอินเดีย แล้วประยุกต์ให้เข้ากับประเพณีนิยมและการใช้สอยของชนพื้นเมืองอาจเป็นไปได้ว่า ผ้าปูมเขมร ที่ใช้กันในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมานั้น ได้รับแบบแบบอย่างมาจากผ้าปาโตลาของอินเดียทั้งนี้เพราะรูปแบบการวางลายของผ้าปาโตลาและผ้าปูมนั้นคล้ายคลึงกันมากคือ การวางลายตามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ท้องผ้าหรือส่วนกลางผ้าเป็นสีพื้น มีลายขอบล้อมรอบ มีลายเชิงผ้าทั้งสองข้าง การวางลวดลายของผ้าปาโตลาในลักษณะนี้ เป็นแบบแผนที่พบในผ้ามัดหมี่บริเวณหมู่เกาะของประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบลายงูและลายนาคในผ้าปูม อาจเป็นการสืบต่อทางความเชื่อเพราะนาคและงูเป็นสัตว์สำคัญตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ความเชื่อเช่นนี้ของชาวเขมรคงสืบมาจนทุกวันนี้

กระแสวัฒนธรรมอินเดียที่ปรากฏบนผ้าในเอเชียอาคเนย์เชื่อมโยงสู่ประประเทศไทยด้วย เพราะในสมัยอยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยนำผ้าปูมจากเขมรและผ้าพิมพ์หรือผ้าลายอย่างจากแคว้นคุชราต ประเทศอินเดีย เข้ามาในราชสำนักสยามผ่านผ้าพิมพ์ ผ้าลายอย่างไปสู่สามัญชน แล้วพัฒนามาเป็นการผลิตผ้าลายไทยเป็นผ้าซิ่นหรือผ้าถุง ซึ่งเป็นผ้านุ่งของผู้หญิงภาคใต้ชาวใต้สืบมาจนทุกวันนี้

กรุงศรีอยุธยาเป็นตลาดศูนย์กลางการค้าผ้ารายใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผ้านำเข้าจากจีน อินเดีย เปอร์เซีย ยุโรป ชวา และปัตตานี อยุธยายังส่งออกผ้าที่ทอได้ในท้องถิ่นนี้ และผ้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศดังกล่าว ไปขายที่มะละกา ปัตตานีและญี่ปุ่น การค้าผ้าของกรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรืองมาจนกระทั้งเสียกรุงให้แก่พม่าในปี พ.ศ. 2310

แม้ว่าผลกระทบจากสงครามจะทำให้การค้าผ้าหยุดชะงัก แต่เมื่อถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผ้าจากต่างประเทศ รวมทั้งผ้ายกทองจากเมืองนครศรีธรรมราช และผ้าจวนตานี ผ้ายกตานีจากเมืองปัตตานี ก็กลับมาเป็นที่นิยมในราชสำนักอีก โดยเฉพาะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นี้หัวเมืองต่างๆ ในภาคใต้ได้ผลิตทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้ายขึ้น ใช้เองในครัวเรือนและจำหน่ายเป็นสินค้าจนมีชื่อเสียง เช่น ผ้าทอเมืองนครศรีธรรมราช ผ้าเกาะยอ เมืองสงขลา ผ้าทอนาหมื่นศรี เมืองตรัง ผ้าทอพุมเรียง เมืองสุราษฎร์ธานี ตลอดจนผ้าทอปัตตานีและหัวเมืองชายแดนภาคใต้

Tags: ผ้าทอพื้นบ้านภาคใต้