เปิดให้บริการวันจันทร์ - วันอาทิตย์
เวลา: 08:30 - 17:30 น. น.

ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1

  • หน้าแรก
  • ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1
4 ต.ค.
Awesome Image

ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ ตอนที่ 1

ผ้าสมัยประวัติศาสตร์ มีหลักฐานที่เป็นบันทึกของนักเดินเรือชาวจีน เช่น คังไถ จูยิ่ง และฟานฉี ซึ่งเดินทางเข้ามาดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-8 บันทึกว่าดินแดนในบริเวณแหลมสุวรรณภูมินี้มีการรวมตัวกันเป็นชุมชนระดับนครรัฐและอาณาจักรขึ้นทั่วไป อาณาจักรและนครรัฐในแหลมสุวรรณภูมิเหล่านี้ต่างมีการพัฒนาการรูปแบบการแต่งกายและการใช้ผ้าไม่ต่างกันมากนัก เนื่องจากได้รับอารยธรรมจีนและอินเดียเหมือนกันและต่างกันก็อาจจะถ่ายโอนความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าซึ่งกันและกันด้วย ได้เห็นได้จากการพบแวหินและแวดินเผาทั่วไปในประเทศไทย และอาจจะสืบทอดวัฒนธรรมการใช้ผ้าและการทอผ้ามาสู่ภาคใต้ของประเทศไทยด้วย เช่น อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรทราวดี และอาณาจักรศรีวิชัย เป็นต้น

อาณาจักรฟูนัน (พุทธศตวรรษที่ 6-11)  มีอาณาเขตครอบคลุมไปถึงภาคใต้ของประเทศเวียดนาม ลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลาง ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแหลมมลายู ศูนย์กลางของอาณาจักรฟูนันอาจอยู่แถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเมืองอู่ทอง ก่อนที่จะย้ายราชธานีไปแถบลุ่มแม่น้ำโขง จดหมายเหตุจีนกล่าวถึงผ้า และการแต่งกายของชาวฟูนันว่าพวกชนชั้นสูงของผู้นันมีเครื่องนุ่งห่มที่ทอด้วยไหมเงินและไหมทอง พวกผู้หญิงมี

ผ้าคลุมชนิดหนึ่งคล้ายหมวกแขกผู้คนส่วนใหญ่มีเครื่องนุ่งห่ม ลูกผู้ดีมีตระกูลจะสวมโสร่งและนิยมเครื่องประดับที่เป็นสร้อยคอทองคำ แหวนหรือเครื่องใช้ที่ทำด้วยเงินผ้าที่ชาวฟูนันใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มอาจเป็นผ้าที่ทอขึ้นใช้เองในอาณาจักรของตนหรืออาจจะซื้อมาจากจีนหรืออินเดียโดยเฉพาะจีนมีการทอผ้าสืบต่อกันมาช้านาน ผ้าไหมและผ้าแพรของจีนก็เป็นสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วไป เนื่องจากการค้าทางทะเลของจีนช่วงเเรกๆ ไม่มีนโยบายติดต่อกับลูกค้าโดยตรง แต่จะค้าขายโดยผ่านอาณาจักรฟูนัน ซึ่งทำความมั่งคั่งและรุ่งเรืองให้กับผู้นั้นมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างจีนกับอาณาจักรต่างๆ ในเอเชียอาคเนย์ อินเดียและตะวันออกกลาง และถ้าก็เป็นสินค้าสำคัญซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดดังกล่าว อาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจลงในพุทธศตวรรษที่ 11 ตอนบนของคาบสมุทรมลายูมีอาณาจักรพัน-พัน และธรรมราชปุระ ตามพรลิงค์หรือลิกอร์ หรือนครศรีธรรมราชปกครองอยู่ ส่วนตอนล่างใต้นครศรีธรรมราชปกครองอยู่ส่วนตอนล่างใต้นครศรีธรรมราชลงไปอยู่เขตปกครองของอาณาลังกาสุกะ เมื่ออาณาจักรฟูนันเสื่อมอำนาจ อาณาจักรลังกาสุกะก็มีความสำคัญสูงสุดบนคาบสมุทรมลายู โดยสามารถควบคุมการค้าทั้งหมดบนคาบสมุทร และขยายอิทธิพลไปทางตะวันตก เหนือคอคอดกระขึ้นไปจนถึงชายฝั่งอ่าวเบงกอล

 นครรัฐลังกาสุกะ หรือลังกาสู (พุทธศตวรรษที่ 9-11) เจริญรุ่งเรืองขึ้นในบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณแหล่งโบราณเมืองยะรังในจังหวัดปัตตานีปัจจุบันเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมลายู ค้าขายกับจีน อินเดียและพ่อค้าอาหรับได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียทั้งศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนา ต่อมาเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาอิสลามด้วย

          จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์เหลียง (พุทธศตวรรษที่ 11)  บันทึกเกี่ยวกับผ้าและการแต่งกายของผู้คนในอาณาจักรนี้ว่าประชาชนทั้งชายและหญิงสยายผม และสวมเสื้อไม่มีแขนทำด้วยผ้ากันมันอันทอด้วยฝ้ายกิเป พระราชาและขุนนางในราชอาณาจักรมีผ้าสีแดงรุ่งอรุณ คลุมข้างบน หลังอีกชิ้นหนึ่งผ้าคลุมนี้กลุ่มอยู่บนบ่าทั้งสองข้าง ทั้งพระราชาและขุนนางต่างก็คาดเข็มถักทอด้วยเชือกทองเอกสารบางฉบับบันทึกต่าง ไปว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั้งชายและหญิงในการเปลือยกายท่อนบนปล่อยผมเป็นกระเชิงมาข้างหลัง ผ้าที่สวมใส่ทำด้วยฝ้ายกันมันและสังข์ พัฒธโนทัย กล่าวถึงรัฐลังกาสุกะในหนังสือเรื่องราชทูตไทยไปจีนว่า ลังกาสุกะเป็นรัฐที่มีชื่อเสียง ปรากฏอยู่ในพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์เหลียง คนในเมืองลังกาสุกะไม่สวมเสื้อ ปล่อยผมยุ่ง สวมโสร่งผ้าฝ้าย กษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่มีผ้าคลุมไหล่ สวมต่างหูทองคำ ส่วนการแต่งกายของหญิงจะแต่งกายด้วยผ้าฝ้ายมีเครื่องเพชรระดับบนเรือน ซึ่งตัดเป็นวงติดกับร่างกาย ลักษณะการแต่งกายแบบนี้เป็นเครื่องยศของชาวอินเดีย

          จากเอกสารข้างต้นแสดงว่าชาวลังกาสุกะ รู้จักนำฝ้ายกิเปมาทองผ้าขึ้นใช้เองและเรียกว่าผ้ากันมัน ชนชั้นสูงอาจจะสวมเสื้อไม่มีแขนใช้ทำด้วยผ้ากันมัน และใช้เป็นผ้านุ่งด้วย ผ้าดังกล่าวอาจเป็นภาพพื้นยังไม่มีลวดลายส่วนผ้าคลุมไหล่สีแดงของพระราชาและขุนนางอาจจะซื้อมาจากจีนเรียกว่า ผ้าหยัน-เซีย และชนชั้นสูงจะใช้เครื่องประดับทองคำ เช่นเข็มขัดและต่างหู ส่วนสามัญชนทั้งชายหญิงจะเปลืองกายท่อนบนไม่สวมเสื้อ ปล่อยผมเป็นเชิงมาข้างหลังแต่ก็นุ่งผ้าโสร่งฝ้ายกันมัน ประการสำคัญคือชาวลังกาสุกะทุกชนชั้นใช้ผ้าฝ้ายซึ่งเป็นเส้นใยธรรมชาติที่ชาวอินเดียเป็นผู้ริเริ่มใช้เป็นชาติแรกตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จากนั้นเผยแพร่ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานที่ชาวอินเดียเดินทางเข้ามาในภาคใต้ และได้ถ่ายทอดเทคนิคการทอผ้าและการแต่งกายโดยใช้ผ้าฝ้ายเป็นเสื้อคลุมห่มให้แก่ชาวพื้นเมืองและชาวพื้นเมืองก็มีความรู้ในการทอผ้าแบบดั้งเดิมของตนอยู่แล้วจึงสามารถรับเทคนิคการทอผ้าชั้นสูงจากชาวอินเดียได้และนำมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองในที่สุด

          นครรัฐลังกาสุกะตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยในราวพุทธทศวรรษที่ 14-15 และศรีวิชัยยังได้แผ่อำนาจเข้าไปในแหลมมลายู ครอบคลุมดินแดนตั้งแต่ ไชยา นครศรีธรรมราช ปัตตานี  กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และเคดาห์ ในบันทึกของชาวจีนชื่อหวางตาหยวน ซึ่งเดินทางเข้ามาในภูมิภาคนี้ เมื่อพ. ศ. 1892 ได้กล่าวถึงผู้คนในตรังกานูว่าเราเรียกรัฐนี้ว่า ทิน-เซีย-ลู ผมของชายและหญิงซึ่งอยู่ในบริเวณนี้ทำเป็นจุกและพวกใส่เสื้อสั้นๆ สิ่งประดิษฐ์จากผ้าฝ้ายสีเขียวใช้พันรอบๆตัวพวกเขาจากบันทึกนี้แสดงว่าชาวเมืองต่างๆที่อยู่ใต้อำนาจของศรีวิชัยรวมทั้งชาวภาคใต้สมัยนั้นด้วย จะส่วมเสื้อผ้าแบบชาวอินเดีย คือการนุ่งผ้าเพียงผืนเดียวพันรอบๆตัวซึ่งเรียกว่าการนุ่งผ้าแบบโธตี นอกจากนี้หญิงไทยและกัมพูชาในยุคนั้นก็ใช้ผ้าห่มเหมือนกับชาวมัชปาหิต ที่มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบชาวอินเดียแสดงว่าอารยธรรมอินเดียได้แพร่กระจายตลอดคาบสมุทรมลายู รวมทั้งปาเลมบังและชวาด้วย

เมื่ออาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจหัวเมืองต่างๆในแหลมมลายูต่างแยกตัวเป็นอิสระ ขณะเดียวกันอนาจักรไทยที่อยู่ทางเหนือก็พยายามขยายอำนาจลงมาในคาบสมุทรและผนวกปัตตานีเข้ากับอาณาจักรไทยด้วยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-23  ปัตตานีภายใต้การปกครองของกรุงศรีอยุธยากลับมามีชื่อเสียงอีกในฐานะเป็นเมืองท่า ที่สำคัญมีชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขายกับปัตตานีจำนวนมากทั้งประเทศทางตะวันออกและตะวันตกและมีสินค้าจำนวนมากที่ถูกส่งออกและนำเข้าที่เมืองปัตตานี เช่นของป่า เครื่องเทศ เครื่องลายคราม ฝ้าย ไหม โดยเฉพาะผ้าซึ่งมีทั้งผ้าจากจีน อินเดีย เปอร์เซียและผ้าที่ทอในท้องถิ่น เช่น ผ้าจวนตานี และผ้าไหมลีลา เป็นต้น...อ่านต่อตอนที่ 2

Tags: ผ้าทอพื้นบ้านภาคใต้