ไหม
เป็นเส้นใยที่หุ้มรังดักแด้ของผีเสื้อชนิดหนึ่ง ที่ตัวอ้วนป้อม
ปีกมีลายเส้นสีน้ำตาลอ่อน พาดทางขวางหลายเส้น
ตัวหนอนมีสีขาวหรือสีครีมมีรยางค์เล็กๆคล้ายเขาที่ปลายหา กินใบหม่อนเป็นอาหารได้อย่างเดียว
เมื่อโตเต็มที่จะถักใยหุ้มดักแด้ เมื่อสาวใยออกมาเรียก เส้นไหม หากนำมาทอผ้าเรียก
ผ้าไหม มนุษย์นำเส้นใยไหมมาทอผ้าเมื่อหลายพันปีมาแล้ว
สันนิษฐานว่าจีนเป็นชาติแรกที่รู้จักนำเส้นไหมมาทอผ้า เมื่อประมาณ 1,500-2,500
ปีก่อนพุทธกาล ต่อมาจึงแพร่ไปยังประเทศอินเดีย ประเทศต่างๆ ในเอเชียและยุโรป
ไหมที่นำมาทอผ้าในระยะแรกอาจเป็นเส้นใยที่ได้จากไหมป่าภายหลังจึงนำไหมมาเลี้ยงเพื่อให้ได้เส้นไหมปริมาณมากพอที่จะทอผ้าได้สะดวก
ต่อมามีการพัฒนาพันธุ์ใหม่ เพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพดีขึ้น
การเลี้ยงไหมในประเทศไทยมีมาแต่โบราณ โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ได้ตั้งกรมช่างไหม ในปี พ.ศ. 2452 และจ้างผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาสอนการเลี้ยงไหมและสาวไหมแบบญี่ปุ่น
มาเผยแพร่ความรู้นี้ให้กับราษฎรในจังหวัดร้อยเอ็ด นครราชสีมาและบุรีรัมย์
แม้ว่าโรงเรียนช่างไหมจะเลิกไปในปี พ.ศ. 2456
แต่ก็มีการพัฒนาพัฒนาพันธุ์ไหมใหม่เรื่อยมา
ปัจจุบันการเลี้ยงไหมเป็นอาชีพเสริมของชาวไร่ชาวนาโดยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเลี้ยงไหมกันอย่างแพร่หลาย
ไหมพันธุ์พื้นเมืองที่เลี้ยงกันทั่วไป ได้แก่ พันธุ์สีขาว พันธุ์สีเหลือง พันธุ์เกษตรมาผสมกัน
การผลิตเส้นไหม
นำไข่ตัวไหมมาวางบนผ้าที่วางไว้บนกระดังไม้ไผ่ ไข่ไหมจะฟักเป็นตัวในเวลา 10 วัน
จึงให้ตัวไหมกินใบหม่อนหั่นเป็นฝอย วันละ 2 เวลา เมื่อตัวไหมโตขึ้นจะเลี้ยงด้วยใบหม่อนวันละ
3 เวลา ประมาณ 1 เดือน ตัวไหมจะมีสีเหลืองจึงนำไปวางไว้ในจ่อ
(ตะแกรงไม่ไผ่ขนาดใหญ่ มีแผงไม้ไผ่เล็กๆ ขดเป็นวงซ้อนกันเป็นชั้นๆ)
ในระยะนี้ตัวไหมจะเริ่มคายเส้นไหมออกมาพันรอบตัวเป็นรังไหมภายใน 7 วัน จึงรีบเก็บรังไหมขึ้น
นำไปต้มจนรังไหมลอยขึ้นมา จึงดึงใยไหมจากรังไหม 3-4 รัง รวมกัน เป็นไหม 1 เส้น
เรียกว่า สาวไหม โดยผ่านระแทะสาวไหม เอาเส้นไหมใส่ลงในภาชนะจนหมดใยไหม
เส้นไหมที่ได้จะเป็นเส้นไหมใหญ่ เส้นไหมน้อย และเส้นไหมคอ
นำเส้นไหมเหล่านี้ไปทำเป็นเข็ดหรือไจนำมาใส่กง แล้วเอาอักมาสาวไหมออกมาจากกง
ถ้าพบไหมเส้นโตมีรอยไหม้ หรือเป็นปุ่มต้องคัดออก หากไหมยังไม่เสมอกันอีก
ต้องนำไปใส่ในเพื่อเข็นอีกครั้ง ให้เส้นไหมเรียบดีขึ้น
การต้มฟอกและย้อมไหมดิบ
ไหมดิบจะมีเส้นกระด้าง เพราะมียางเหนียวเกาะติดอยู่ จะต้องต้มฟอกเอายางนั้นเพื่อทำให้เส้นไหมอ่อนตัว
โดยนำไหมดิบไปแช่น้ำสะอาด แล้วนำไปต้มกับน้ำด่าง ซึ่งทำจากขี้เถ้ากาบมะพร้าวแห้ง
ก้านและกาบกล้วยแห้ง เปลือกนุ่น งวงตาล ต้นผักขมและเหง้ากล้วย ละลายน้ำ
แต่ในปัจจุบันใช้สาวเคมี แช่ไว้ 1 คืน เทน้ำออก 3 ส่วน
แล้วเอาน้ำใหม่เทลงไปให้ท่วมเส้นไหม ต้มเคี่ยวไปจนกว่าเส้นไหมจะเป็นสีขาว
แล้วนำมาล้างให้สะอาด นำไปผึ่งไว้ในร่มจนเส้นไหมแห้งกระบวนการนี้เรียก การฟอกไหม
ซึ่งจะช่วยทำให้เส้นไหมนุ่ม ทำให้กาวที่ติดอยู่กับเส้นไหมหลุดออกไป
และสีเดิมของเส้นไหมจะจางลง นำไปย้อมสีได้ง่าย ส่วนการย้อมสีไหม ปัจจุบันใช้สี 2
ชนิด คือ สีธรรมชาติ ที่ได้จากต้นไม้ ใบไม้ แก่นไม้ และพืชบางชนิด
ซึ่งมีขั้นตอนและกรรมวิธีต่างๆกัน กับสีวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสีสำเร็จรูป
นำไปละลายน้ำร้อนพอขัน กรองด้วยผ้าขาว เทน้ำสีผสมไว้ลงในอ่างน้ำร้อน
เทเหล้าโรงผสมลงไปพอสมควร คนให้สีเข้ากันดี แล้วเอาเส้นไหมลงไปย้อม
แล้วบิดเส้นไหมขึ้นผึ่งไว้ในร่มจนเส้นไหมแห้ง