ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราโชบายที่จะปฏิรูปการปกครองเพื่อรวมศูนย์อำนาจการปกครองเข้าสู่ส่วนกลาง
ทำให้เจ้าเมืองต่างๆ ขาดผลประโยชน์และมีอำนาจน้อยลง
ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักกับเมืองนครศรีธรรมราชจึงไม่ราบรื่น
ดังนั้นเมื่อทางราชสำนักเกณฑ์ให้ทอผ้ายกเมืองนครส่งไปถวายตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมา
พระยาศรีธรรมราช (พร้อม)
จึงส่งผ้ายกเมืองนครที่มีคุณภาพไม่ดีเท่าที่เคยส่งมาแต่ก่อนเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวาย
ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัย
ดังนั้นมีเมื่อพระราชประสงค์จะนำผ้ายกนครมาจัดแสดงในงานฉลองพระนครครบ 100 ปี
ปีพุทธศักราช 2425 จึงทรงรับสั่งให้หาซื้อแบ่งปันผ้ายกเมืองนครอย่างดี
จากลูกหลานหรือทายาทของเจ้าพระยานครศรีธรรมราชคนก่อน
ดังความในพระราชหัตถเลขาถึงพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ เมื่อวันจันทร์ขึ้น 4 ค่ำ
เดือนสาม ปีมะเส็ง ตรีศกศักราช พ.ศ. 2424 มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“ถึงคุณสุรวงษ์ไวยวัฒน์ ด้วยฉันอยากได้ผ้ายกนคร ผ้ายกเมืองสงขลา
และผ้าเช็ดปากยกสีต่างๆ ลายต่างๆ ทั้งผ้านุ่ง ผ้าเช็ดปาก
คิดว่าในรายการเกณฑ์เอศซฮบิเซน ก็คงมีมาบ้าง แต่ก็คงเป็นอย่างเลวที่สุด
จึงจะได้ส่งมา
ถ้าจะสั่งให้ทำตามธรรมเนียมก็คงจะได้เลวเหมือนอย่างที่สั่งไปครั้งก่อน
ครั้งนี้อยากจะได้ผ้าที่ดีจริงๆ ถ้าได้ผ้าแต่ละครั้งเจ้าพระยานครยิงดี
ของที่ลูกหลานเขาคงจะมีอยู่ด้วยกันทุกคนเธอจะช่วยคิดอ่านอย่างใด
เป็นอย่างขอซื้อปันกัน ถึงแพงก็ไม่ว่า ขอแต่ให้ได้ดีอย่างเดียว”
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานเกี่ยวกับผ้าทอชนิดต่างๆ
ซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของเมืองนครศรีธรรมราช
ในรายงานเกี่ยวกับผลประโยชน์การทำมาหากินและสินค้าของเมืองศรีธรรมราชในหนังสือ
ชีวิวัฒน์ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช
เมื่อปีพ.ศ. 2427 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า “ราคาสิ่งของที่ขายในตลาดผ้านุ่งผ้าห่มผ้ายกไหม
ผ้ายกทอง ไม่มีขายในตลาด เป็นของทอเฉพาะผู้สั่งซื้อ
และเป็นของทำในบ้านผู้ว่าราชการเมือง กรมการ ผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นต้น ผ้าม่วง
ราคาผืนละ 5-6 เหรียญ ผ้าริ้ว ผ้า ผ้าพื้น ผืนละ 6 ก้อน หรือ 2 ยำไป หรือ 6 ตำลึง
ผ้าขาวม้าไหมผืนละ 7 เหรียญ ผ้าขาวม้าด้าย กุลีละ 8 บาท ถุง 10 บาท
ผ้าเช็ดปากผ้าขาวกุลีละ 4 บาท ถึง 5 บาท ผ้าโสร่งไหม ผืนละ 4-5-6 เหรียญ
ผ้าโสร่งด้ายผืนละ 1 บาท”
จากรายงานนี้แสดงให้เห็นว่ามีการทอผ้าหลายชนิดในเมืองนครศรีธรรมราชเวลานั้น
ผ้ายกทอง ไม่มีขายในตลาด จะเป็นผ้าที่ทอเมื่อมีผู้สั่งประสงค์จะซื้อและทอเฉพาะในบ้านของผู้ว่าราชการเมืองและกรมการผู้หลักผู้ใหญ่เท่านั้น
เนื่องจาก “ผ้ายกทอง” เป็นของมีค่าหายาก
และใช้เป็นผ้าทรงของกษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชบริพาร
และขุนนางผู้ใหญ่เท่านั้น ดังมีความในเพลงกล่อมเด็กกล่าวไว้ว่า
“เมืองคอนเหอ มีผ้าลายทอเป็นพับพับ
จัดเป็นสำหรับ ประดับทองห่าง
จะนุ่งก็ไม่สม จะห่มก็ไม่ควรเจ้าเอวบาง
ประดับทองห่างห่าง
สำหรับขุนนางนุ่ง”
ผ้ายกนครศรีธรรมราชแบบดั้งเดิม คือ
ผ้าทอยกทอง ชนิดที่ช่างทอผ้าเรียกว่า “ขนาด 12 เขา” ใช้คนทอถึง 3 คน นั่งเรียงกัน
ผ้าที่ได้เป็นผ้าหน้ากว้าง 39 นิ้ว ใช้นุ่งใช้ห่มได้สะดวก
นอกจากบ้านของกรมการเมืองนครศรีธรรมราชเก่า แหล่งทอผ้ายกขนาดใหญ่อยู่ที่
บ้านเลขที่ 735 ซอย ณ นคร 3 บ้านท่าม้า อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นบ้านเก่าของ คุณเพิ่ม ณ นคร ภรรยาพระยาศิริธรรมบริรักษ์ (ถัด ณ นคร)
ธิดาพระยาวิชิตสรไกร (กล่อม)
แต่เดิมบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งโรงละครชาตรี ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
นอกจากผ้ายกทองแล้ว ผ้ายกนครยังมี ผ้ายกเงิน ผ้ายกไหม ผ้ายกฝ้าย
ซึ่งขึ้นกับชนิดเส้นพุ่งที่ใช้ทอยกดอกให้เกิดลวดลายในกรรมวิธีของการทอผ้ายกเมืองนคร
ดังนี้
การทอผ้ายกเมืองนคร
การทอผ้ายก เป็นการทอโดยเพิ่มลวดลายให้พิเศษสวยงามขึ้น
ลวดลายจะยกสูงกว่าเนื้อผ้าด้วยวิธีการเก็บเขาหรือตะกอลายที่เส้นยืนและด้วยวิธีการทอที่ยกเขาหรือตะกอลายขึ้นเส้นยืนบางกลุ่มจะถูกดึงขึ้น
เปิดเป็นช่องสอดไม้นัดตั้งขึ้นเปิดช่องให้กว้าง เพื่อจะพุ่งกระสวยได้สะดวก
เมื่อพุ่งจะเข้าไปสานขัดกับเส้นยืน กระทบฟืมเพื่อให้เส้นพุ่งอัดแน่นกับเส้นยืน
โดยทอสลับกับการทอเนื้อผ้า ไปจนครบตะกอลายดอก ก็จะเกิดลายยกดอกนูนขึ้นมาบนเนื้อผ้า
หากใช้เส้นไหมสีมาเป็นเส้นพุ่งทอให้เกิดลวดลาย เรียกว่า ผ้ายกไหม ถ้านำทองคำมาหรือเงินมารีดเป็นเส้นแล้วนำมาปั่นควบกับเส้นไหม
เรียกว่า เส้นไหมทองไหมเงิน นำมาใช้ทอเป็นเส้นพุ่งพิเศษเรียกว่า ผ้ายกทอง
หรือผ้ายกเงิน
ซึ่งบางครั้งในสมัยโบราณนำทองแดงมารีดเป็นเส้นแล้วกะไหล่ทองหรือไหล่เงิน
แล้วนำมาปั่นควบกับเส้นไหมหรือเส้นด้าย บางครั้งพบเส้นทองหรือเส้นเงิน
ทำจากกระดาษทาสีทองสีเงินแล้วตัดเป็นเส้นนำมาปั่นควบกับไหมหรือด้ายนำมาทอผ้า...อ่านต่อตอนที่ 3